สำนักงานกฎหมาย

นพนภัส

ทนายความเชียงใหม่

คำว่า ประมาท ตามกฎหมายแล้ว มีความหมายว่าอย่างไร

คำว่าประมาทในทางกฎหมายเป็นอย่างไร มีข้อสังเกตยังไงนั้นเชิญเข้ามาดู
“ ประมาท ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หมายความว่า ขาดความรอบคอบ, ขาดความระมัดระวังเพราะทะนงตัว
ประมาทเลินเล่อ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หมายความว่า กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังหรือละเลยในสิ่งที่ควรกระทำ

ทนายเชียงใหม่ จะแนะนำข้อกฎหมายในทางอาญาว่า กฎหมายอาญามองคำว่า ประมาทว่า เป็นอย่างไร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 กระทำโดยประมาท ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

และทนายความเชียงใหม่ ขอแนะนำข้อกฎหมายในทางแพ่งว่า ประมาทนั้น กฎหมายแพ่งได้บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

          เห็นได้ว่า คำว่า ประมาทนั้น จะต้องดูจากภาวะในขณะนั้น บุคคลทั่วไปเค้าจะได้กระทำอย่างไรเพื่อให้ได้รับความปลอดภัยหรือระมัดระวัง
โดยทนายเชียงใหม่ จะได้นำเสนอคำพิพากษาของศาลฎีกา เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษา คำว่า “ประมาท” มาให้ทุกท่านได้เข้าใจกันมากขึ้นดังนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3452/2537
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 กับโจทก์ที่ 2 ต่างขับรถของตนตามกันมาโดยจำเลยที่ 1 ขับรถนำหน้าโจทก์ที่ 2 ครั้นถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวขวาเพื่อเข้าสู่ทางแยกด้านขวามือซึ่งเป็นทางเข้าวัดบ้านไร่ดอนแตง โจทก์ที่ 2ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์โดยสารปรับอากาศเบิกความว่า ขณะที่พยานขับรถมาถึงที่เกิดเหตุรถยนต์บรรทุกซึ่งวิ่งอยู่ไหล่ทางได้เบนหัวรถขึ้นบนถนน พยานจึงให้สัญญาณแตรและเปิดไฟแล้วหักเลี้ยวรถออกทางขวาโดยพยานเข้าใจว่ารถยนต์บรรทุกจะวิ่งไปในทางเดียวกัน แต่ปรากฏว่ารถยนต์บรรทุกได้หักเลี้ยวขวากะทันหัน พยานได้แตะห้ามล้อและหักรถออกทางขวา รถจึงเกิดชนกัน พยานได้ประคองรถลงริมถนนข้างทางเพราะหากหักหลบเร็วจะเกิดแรงเหวี่ยงทำให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บและกระเด็นออกนอกรถรอยห้ามล้อปรากฏอยู่บนถนนตามภาพถ่ายหมาย ป.จ. 1 ของศาลแพ่ง โจทก์ที่ 1 มีนาย ต. นาย อ. และนาย ส. ผู้ที่โดยสารมากับรถยนต์โดยสารปรับอากาศเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า ก่อนถึงที่เกิดเหตุ เห็นรถยนต์บรรทุกแล่นบนไหล่ทางนำหน้ารถยนต์โดยสารปรับอากาศเมื่อถึงที่เกิดเหตุรถยนต์บรรทุกได้เลี้ยวขวา โจทก์ที่ 2ได้ให้สัญญาณแตร แต่รถยนต์บรรทุกยังเลี้ยวขวาจึงเกิดเฉี่ยวชนกันขึ้นแล้วรถทั้งสองคันต่างพุ่งลงคูน้ำข้างถนน ส่วนจำเลยที่ 1 เบิกความว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกจะนำน้ำปลาไปส่งที่บ้านไร่ดอนแตงซึ่งอยู่ทางฝั่งขวามือของถนน ขณะอยู่ห่างทางแยกเข้าบ้านไร่ดอนแตงประมาณ 50 เมตร พยานได้เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวา มองกระจกส่องหลังเห็นรถยนต์เก๋งแล่นตามหลังอยู่ในระยะห่าง 100 เมตร

หลังรถยนต์เก๋งมีรถโจทก์ที่ 2 แล่นตามอยู่ในระยะห่าง 200 เมตร พอห่างทางแยกประมาณ 30 เมตร พยานเบนรถเลี้ยวขวา รถยนต์เก๋งแซงซ้ายรถพยานไปรถของพยานอยู่ห่างเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนประมาณเมตรเศษในลักษณะเฉียงจะเลี้ยวขวาเข้าทางแยก รถโจทก์ที่ 2 ไม่สามารถหักหลบไปทางซ้ายเพราะติดรถยนต์เก๋ง จึงเกิดเฉี่ยวชนกันนอกจากตัวจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์บรรทุกแล้ว ยังมีนาย ว. และนาย น. คนขับรถจักรยานยนต์รับจ้างปากทางเข้าบ้านไร่ดอนแตงเบิกความทำนองเดียวกันว่า ระหว่างรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 กับรถยนต์โดยสารปรับอากาศของโจทก์ที่ 2 ยังมีรถยนต์เก๋งอีกคันหนึ่ง โดยรถจำเลยที่ 1 แล่นนำหน้ารถยนต์เก๋งรถโจทก์ที่ 2 แล่นตามรถยนต์เก๋ง รถจำเลยที่ 1 ให้สัญญาณเลี้ยวขวา และได้ยินเสียงห้ามล้อรถโจทก์ที่ 2 สองครั้งและแล่นทางขวาตีคู่กับรถยนต์เก๋งในขณะที่รถจำเลยที่ 1 เบนเลี้ยวขวาแล้ว รถโจทก์ที่ 2 เสียหลักคล้ายห้ามล้อไม่อยู่ และไม่สามารถหักหลบซ้ายเพราะติดรถยนต์เก๋งรถโจทก์ที่ 2 จึงพุ่งชนรถจำเลยที่ 1 ตรงล้อขวาหลัง เมื่อพิเคราะห์คำพยานของทั้งสองฝ่ายประกอบคำเบิกความของร้อยตำรวจโท ป. ซึ่งได้ออกไปตรวจที่เกิดเหตุว่า พบรอยครูดของรถยนต์บรรทุกน้ำปลาบนถนนที่เกิดเหตุ และรอยครูดดังกล่าวห่างจากเส้นแบ่งกึ่งกลางถนน 1 เมตรเศษ ซึ่งสอดคล้องกับรอยคราบน้ำมันที่เปรอะเปื้อนบนถนนที่จุดเกิดเหตุแสดงว่าจุดชนอยู่เลยจุดกึ่งกลางถนนไปทางขวามือแล้ว ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อตามที่จำเลยนำสืบว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ขับรถตามกันมา โดยมีรถยนต์เก๋งวิ่งอยู่ระหว่างรถของคนทั้งสอง ก่อนถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1ได้ให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวา การที่โจทก์ที่ 2 ขับรถไปชนรถยนต์บรรทุกโดยที่จุดชนอยู่เลยกึ่งกลางถนนไปทางขวามือแล้ว แสดงว่าโจทก์ที่ 2ตั้งใจขับรถแซงรถยนต์เก๋งและรถยนต์บรรทุกขึ้นไปทางด้านขวาจากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทประสิทธิ์ ได้ความว่าไม่พบรอยเบรกของรถยนต์โดยสารปรับอากาศเลย และเมื่อพิจารณาถึงความเสียหายของรถยนต์บรรทุกที่ด้านขวาพังเสียหายทั้งแถบ แสดงว่า โจทก์ที่ 2 ขับรถแซงขวามาด้วยความเร็วสูง และขับตามรถคันหน้าอย่างกระชั้นชิดเมื่อพบรถยนต์บรรทุกกำลังเบนรถเลี้ยวขวาก็ไม่สามารถหยุดหรือชะลอความเร็วลงได้ เหตุที่รถทั้งสองคันชนกันจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ 2 ฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1 มิได้มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5082/2533
จ.ขับรถอยู่ในทางเดินรถ เห็นชามกะละมังหล่น ขวางทางอยู่จึงชะลอความเร็วและหยุดรถเพื่อไม่ให้ชนชามกะละมัง จำเลยขับรถแล่นตามหลังมาชนท้ายรถของ จ. เช่นนี้ ถือไม่ได้ว่า จ. มีส่วนประมาทร่วมด้วย และถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อเพราะผู้ที่ขับรถตามหลังรถคันอื่นมีหน้าที่ต้องระมัดระวังไม่ให้รถแล่นไปชนท้ายรถคันที่แล่นอยู่ข้างหน้า โดยต้องทิ้งระยะให้ห่างพอสมควรที่จะชะลอความเร็ว หรือหยุดรถได้ทันท่วงทีเมื่อรถคันหน้าได้ชะลอความเร็วหรือต้องหยุดรถไม่ว่ากรณีใด ๆ 

โดย ทนายความเชียงใหม่